ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุถึงเหตุผลที่ทั่วโลกจะยังคงพึ่งพาดอลลาร์ต่อไป และการมีอิทธิพลของดอลลาร์ในการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐในเวทีโลก
- นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตากล่าวว่า เฟดจะไม่เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง พร้อมกับแสดงความเห็นอย่างระมัดระวังว่า ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังปรับตัวสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืนหรือไม่
- นักวิเคราะห์จากซิติคาดว่า ดอลลาร์จะพุ่งขึ้น 5% และจะมีแรงเทขายในตลาดตราสารหนี้ ถ้าหากพรรครีพับลิกันที่นำโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งของสหรัฐในเดือนพ.ย.นี้
- รอยเตอร์ระบุว่า ดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะยังคงได้รับแรงหนุนต่อไปในช่วงนี้ และดอลลาร์จะดิ่งลงได้ก็ต่อเมื่อนักลงทุนคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรุนแรงในอนาคต
- รอยเตอร์รายงาน บีโอเจจะยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยก็ตาม แต่ภาวะอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวบ่งชี้ว่า บีโอเจอาจจะต้องการสิ่งบ่งชี้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการขึ้นค่าจ้างก่อนที่จะดำเนินการ
- ผู้ว่าการธนาคารกลางฝรั่งเศส กล่าว ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ไม่ควรที่จะรอนานเกินไปก่อนที่จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ และเขากล่าวเสริมว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปและอย่างสมเหตุสมผลในทางปฏิบัติ อาจจะเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่าการตัดสินใจในเวลาที่ช้าเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้ต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเกินไปในเวลาต่อมา”
- ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงินจำนวน 5 แสนล้านหยวน (ราว 7.039 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เข้าสู่ระบบธนาคาร โดยดำเนินการผ่านโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ที่อัตราดอกเบี้ย 2.5% นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนยังได้อัดฉีดเงิน 1.05 แสนล้านหยวนผ่านข้อตกลง reverse repo ประเภทอายุ 7 วัน ที่อัตราดอกเบี้ย 1.8%
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญ
- ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า สหรัฐจะไม่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามอังกฤษและญี่ปุ่น เนื่องจากมีการฟื้นตัวแข็งแกร่งกว่าในด้านปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคแข็งแกร่ง ขณะที่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนใช้จ่ายในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และพลังงานสะอาด ซึ่งจะสนับสนุนการลงทุนทางธุรกิจ
- กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิตประจำเดือนม.ค.ในวันศุกร์ โดยดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.9% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.6% จากระดับ 1.0% ในเดือนธ.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.1% หลังจากปรับตัวลง 0.1% ในเดือนธ.ค.
- ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.0% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.6% จากระดับ 1.7% ในเดือนธ.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.5% ในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.1% หลังจากปรับตัวลง 0.1% ในเดือนธ.ค.
ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 14 เหรียญ หรือ 0.47% อยู่ที่ระดับ 2,018 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 9.20 เหรียญ หรือ 0.46% ปิดที่ 2,024.10 เหรียญ แต่ลดลงราว 0.6% ในรอบสัปดาห์นี้
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 52.40 เซนต์ หรือ 2.28% ปิดที่ 23.475 เหรียญ
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 8.30 เหรียญ หรือ 0.92% ปิดที่ 913.50 เหรียญ
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าซื้อเข้า 0.58 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 837.89 ตันภาพรวมเดือนกุมภาพันธ์ ขายสุทธิ 13.26 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. – ปัจจุบัน ขายสุทธิ 41.22 ตัน
ข่าวน้ำมัน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ เนื่องจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางได้บดบังการคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ที่คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันชะลอตัว
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 1.16 ดอลลาร์ หรือ 1.49% ปิดที่ 79.19 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้นราว 3% ในรอบสัปดาห์นี้
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ หรือ 0.74% ปิดที่ 83.47 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้นมากกว่า 1% ในรอบสัปดาห์นี้
- กลุ่มฮูตีของเยเมนออกมาอ้างความรับผิดชอบว่า ทำการโจมตีด้วยขีปนาวุธเข้าใส่เรือบรรทุกน้ำมันของอังกฤษในทะเลแดงเมื่อวันศุกร์ “เรายืนยันว่าเราจะยังคงโจมตีด้วยขีปนาวุธต่อเรือพาณิชย์ที่เชื่อมโยงกับอิสราเอล และเรือที่มุ่งหน้าไปยังอิสราเอลในทะเลแดงและอ่าวเอเดน” เขากล่าว และระบุว่า กลุ่มฮูตีจะหยุดโจมตี ก็ต่อเมื่ออิสราเอลหยุดรุกรานปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา